โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi โรคนี้สามารถทำให้เกิดแผลเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจมีอาการปวด บวม และทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
โรคแผลริมอ่อน มักพบในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
โรคแผลริมอ่อน คืออะไร?
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ Haemophilus ducreyi ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลเปิดที่อวัยวะเพศ โดยแผลเหล่านี้มีลักษณะเจ็บปวด มีขอบนูนแดง และอาจมีหนองร่วมด้วย
สาเหตุของโรคแผลริมอ่อน
โรคแผลริมอ่อนเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi โดยเชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่าน รอยแผลเล็กๆ ที่ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสติดเชื้อ
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- มีคู่นอนหลายคน
- เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
- มีบาดแผลหรือรอยถลอกที่อวัยวะเพศ
อาการของโรคแผลริมอ่อน
อาการของโรคแผลริมอ่อนมักปรากฏขึ้นภายใน 3-10 วัน หลังจากได้รับเชื้อ โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้
- แผลที่อวัยวะเพศ
- เริ่มจาก ตุ่มแดงเล็กๆ และเปลี่ยนเป็นแผลเปิด
- แผลมีขอบนูนแดง และอาจมีหนองไหล
- รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาปัสสาวะหรือสัมผัส
- จำนวนแผลอาจมีมากกว่า 1 ตำแหน่ง
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวม
- อาจเกิดขึ้น 1-2 สัปดาห์หลังจากแผลปรากฏ
- ต่อมน้ำเหลือง บวมโต และเจ็บ
- อาจพัฒนาเป็น ฝีหนอง (Bubo) ซึ่งอาจแตกออก และมีหนองไหล
- อาการอื่นๆ ที่อาจพบ
- มีไข้ต่ำๆ
- รู้สึกไม่สบายตัว
- มีของเหลวขุ่นออกจากแผล
ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลริมอ่อน
หากไม่ได้รับการรักษา โรคแผลริมอ่อนอาจนำไปสู่ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น
- แผลเป็นบริเวณอวัยวะเพศ
- ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ทำให้แผลหายช้า
- ภาวะต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
การวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อน
- การตรวจร่างกาย
- แพทย์จะตรวจสอบลักษณะแผล และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
- ซักถามประวัติทางเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมเสี่ยง
- การตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย
- การเก็บตัวอย่างหนองจากแผลเพื่อเพาะเชื้อ
- การตรวจ PCR เพื่อยืนยันชนิดของแบคทีเรีย
- การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อาจต้องตรวจหาโรคอื่นๆ เช่น ซิฟิลิส เริม และเอชไอวี (HIV) ซึ่งมีอาการคล้ายกัน

การรักษาโรคแผลริมอ่อน
โรคแผลริมอ่อนสามารถรักษาได้ด้วย ยาปฏิชีวนะ และอาการมักจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- การใช้ยาปฏิชีวนะ แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะ เช่น
- Azithromycin 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
- Ceftriaxone 250 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
- Erythromycin 500 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
- การรักษาฝีหนองที่ขาหนีบ หากมี ฝีหนองที่ต่อมน้ำเหลือง (Bubo) อาจต้องทำการระบายหนองออกแพทย์อาจใช้ เข็มเจาะดูดหนอง หรือทำการกรีดแผลเพื่อระบายของเหลว
- การดูแลตนเองระหว่างการรักษา
- ทำความสะอาดแผล วันละ 2 ครั้ง ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท
- แจ้งให้คู่นอนเข้ารับการตรวจ และรักษา
การป้องกันโรคแผลริมอ่อน
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงแผลริมอ่อน
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และเลือกมีเพศสัมพันธ์กับคู่ที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ช่วยให้พบโรคตั้งแต่ระยะแรก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลของผู้ติดเชื้อ หากทราบว่าคู่นอนติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับแผล
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- โรคซิฟิลิส : ความเสี่ยงในกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานที่คุณต้องรู้
- อาการโรคหนองในในผู้ชาย และผู้หญิง: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรละเลย
โรคแผลริมอ่อนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาได้หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม แต่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ฉะนั้นการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการปฏิบัติตามพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของโรคนี้ หากพบอาการผิดปกติที่อวัยวะเพศ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจ และรักษาอย่างถูกต้อง