ถุงยางอนามัย (Condom) ถือเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด หากใช้อย่างถูกต้องสามารถป้องกันได้ถึง 98% แต่ก็มีบางครั้งที่เกิดเหตุการณ์ ถุงยางอนามัยแตก หรือ ถุงยางอนามัยรั่ว ขึ้นจริง ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือ ความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่ออื่น ๆ
เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า ถุงยางอนามัยแตก คืออะไร? ทำไมถึงแตก? ความเสี่ยงคืออะไร? วิธีรับมือทันทีต้องทำอย่างไร? และการป้องกันในอนาคตควรทำอย่างไร?
ถุงยางอนามัยแตก คืออะไร?
ถุงยางอนามัยแตก คือ ภาวะที่ถุงยางอนามัยเกิดการ ฉีกขาด รั่ว หรือหลุด ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้สารคัดหลั่ง (เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นจากช่องคลอด เลือด) สัมผัสกับเยื่อบุโดยตรง จึงเพิ่มความเสี่ยง การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมถึงเอชไอวี
สัญญาณที่บ่งบอกว่า ถุงยางอนามัยแตก หรือรั่ว
- ระหว่างสอดใส่ รู้สึกตึง รัด หรือฝืดผิดปกติ
- หลุด/ขาด ระหว่างทำกิจกรรม (เช่น หายไปจากโคนอวัยวะเพศ หรือพบว่าเป็นวงยางเปล่า ๆ)
- หลังเสร็จกิจพบ รอยฉีก น้ำอสุจิรั่วซึมภายนอก หรือบริเวณปากถุงมีของเหลวไหลย้อน
ทำไมถุงยางอนามัยถึงแตกได้?
แม้ถุงยางอนามัยมาตรฐานจะทนทาน แต่ยังแตกได้จากหลายปัจจัย (มักมากกว่า 1 สาเหตุผสมกัน)
- ใช้ผิดวิธี
- ไม่บีบกระเปาะปลาย ไล่อากาศ → ความดันสะสมจนปริแตก
- ใส่ผิดด้านแล้วกลับด้านใช้ต่อ → เกิดแรงเสียดสี/หลุดง่าย และมีของเหลวปนเปื้อน
- ไม่รูดลงจนสุดโคน → ถุงยางอนามัยขยับ/เสียดสีจุดเดิมจนฉีก
- ขนาดไม่พอดี
- เล็กเกิน → ตึงจนฉีก
- ใหญ่เกิน → หลวม และเสียดสีจนหลุด/รั่ว
- เสื่อมคุณภาพ หมดอายุ/เก็บร้อน/แดดจัด (เช่น ทิ้งไว้ในรถหรือกระเป๋าสตางค์นาน ๆ) → ยางเปราะ แตกง่าย
- สารหล่อลื่นไม่เหมาะสม น้ำมัน/วาสลีน/โลชั่น ทำลาย ลาเท็กซ์ โดยตรง → แนะนำเฉพาะ เจลสูตรน้ำ/ซิลิโคน (ถ้าแพ้ลาเท็กซ์ เลือก โพลียูรีเทน/โพลีไอโซพรีน ซึ่งทนต่อน้ำมันได้ดีกว่า)
- แรงเสียดสีสูง/กิจกรรมยาวนาน เพศทางทวารหนัก (ไม่มีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ) หรือกิจกรรมนานโดย ไม่เติมลูบหล่อลื่น → ฉีกขาดง่าย
- เปิดซองไม่ระวัง ฉีกซองด้วย ฟัน/กรรไกร/เล็บ → ข่วนถุงยางอนามัย จนเป็นรูจิ๋วที่แตกตอนใช้งาน
ความเสี่ยงเมื่อถุงยางอนามัยแตก
ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
ถุงยางอนามัยถือเป็นแนวป้องกันหลักในการลดการแพร่เชื้อเอชไอวี แต่เมื่อถุงยางอนามัยแตก หรือรั่ว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะในฝ่ายรับ (ช่องคลอดหรือทวารหนัก) เนื่องจากเยื่อบุบริเวณดังกล่าวบอบบาง และฉีกขาดได้ง่าย ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART อย่างสม่ำเสมอ จนค่า Viral Load ต่ำกว่าระดับตรวจพบ (Undetectable) ตามหลักการ U=U (Undetectable = Untransmittable) ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์จะ แทบไม่มีเลย นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมผู้ติดเชื้อควรเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และต่อเนื่อง
ความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
แม้ไม่ได้ติดเอชไอวี แต่การที่ถุงยางอนามัยแตกยังทำให้เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่แพร่ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง และผิวหนัง ได้แก่:
- ซิฟิลิส (Syphilis): เกิดแผลริมแข็งที่อวัยวะเพศในระยะเริ่มแรก และอาจมีผื่นทั่วร่างกายในระยะต่อมา
- หนองในแท้ (Gonorrhea) และ หนองในเทียม (Chlamydia): ทำให้มีหนองออกจากอวัยวะเพศ แสบหรือปวดขณะปัสสาวะ และอาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อุ้งเชิงกรานหรือท่อน้ำอสุจิ
- เริมอวัยวะเพศ (Herpes Simplex Virus, HSV): ทำให้เกิดตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผล เจ็บแสบ และมักกลับมาเป็นซ้ำได้
- HPV (Human Papillomavirus): ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ และบางสายพันธุ์ยังเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งคอหอย
ความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
ในคู่ต่างเพศ การแตกหรือรั่วของถุงยางอนามัยทำให้น้ำอสุจิสามารถเข้าสู่ช่องคลอดโดยตรง หากตรงกับ ช่วงไข่ตก (ovulation period) ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์จะสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้มีการใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ยาคุมกำเนิดแบบรายวันหรือห่วงอนามัย

วิธีรับมือทันทีเมื่อถุงยางอนามัยแตก
ควรทำทันทีหลังถุงยางอนามัยแตก (แผนฉุกเฉิน 0–72 ชั่วโมง) เพราะยิ่งทำเร็วเท่าไร ยิ่งลดความเสี่ยงได้มาก
- หยุดกิจกรรม และถอดถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง
- ฝ่ายรุกถอนออกโดย ใช้มือจับที่โคน ป้องกันของเหลวหก
- อย่าล้าง/สวนล้างแรง โดยเฉพาะทวารหนัก—ทำให้เยื่อบุเสียหาย และเสี่ยงมากขึ้น
- ล้างเฉพาะภายนอกด้วยน้ำสะอาด และสบู่อ่อน ๆ หลีกเลี่ยงน้ำยาฆ่าเชื้อ/สารเคมีแรง ๆ
- พิจารณายา PEP (ป้องกันเอชไอวีหลังเสี่ยง) ต้องเริ่ม ภายใน 72 ชม. (ยิ่งเร็ว ยิ่งดี) และกิน ครบคอร์ส 28 วัน ภายใต้แพทย์ดูแล
- ป้องกันการตั้งครรภ์ฉุกเฉิน (ถ้ามีโอกาสตั้งครรภ์)
- ยาคุมฉุกเฉิน ภายใน 72 ชม. (ไวที่สุดยิ่งดี)
- ห่วงคุมกำเนิดทองแดง (Copper IUD) ใส่ได้ ภายใน 5 วัน หลังเสี่ยง—ป้องกันตั้งครรภ์ได้สูงมาก
- ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตามช่วงเวลา (Window Period)
- HIV NAT/PCR: ~10–14 วัน หลังเสี่ยง
- HIV ชนิด 4th Gen (p24+Ab): 4–6 สัปดาห์ และ ยืนยันที่ 3 เดือน
- ซิฟิลิส (RPR/TPHA): 2–4 สัปดาห์
- หนองใน/หนองในเทียม (NAAT): 7–14 วัน (เก็บตัวอย่างตามตำแหน่งเสี่ยง: คอ/ทวารหนัก/อวัยวะเพศ)
- ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: ตรวจ และ ฉีดวัคซีนตับบี หากไม่เคยฉีด/ภูมิต่ำ
ช่วงรอผลตรวจ: งดเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน และหากมีเพศสัมพันธ์ให้ ใช้ถุงยางอนามัย + dental dam ทุกครั้ง
วิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางอนามัยแตกในอนาคต
แม้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐานจะมีความทนทาน แต่หากใช้อย่างไม่ถูกวิธีหรือเก็บรักษาไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้ ฉีกขาด หลุด หรือรั่ว ได้ง่าย ดังนั้นการใช้อย่างถูกต้องคือหัวใจสำคัญในการป้องกัน
- ใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน
- เลือกถุงยางอนามัยที่มีสัญลักษณ์ มอก. (ประเทศไทย) หรือ FDA/CE (ต่างประเทศ)
- สัญลักษณ์เหล่านี้ยืนยันว่าผ่านการตรวจสอบคุณภาพเรื่องความหนา ความทน และการป้องกันการรั่วซึม
- เลือกขนาดที่พอดี
- ถุงยางอนามัยเล็กเกินไป → เสี่ยงฉีก
- ถุงยางอนามัยใหญ่เกินไป → เสี่ยงหลุด/รั่ว
- วิธีง่าย ๆ คือเลือกตาม ความกว้างที่ระบุบนกล่อง (เช่น 49 มม. / 52 มม. / 56 มม.) ให้ใกล้เคียงกับขนาดรอบวงอวัยวะเพศ
- 3. ใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะสม
- ถุงยางอนามัยลาเท็กซ์ ใช้ได้กับ เจลหล่อลื่นสูตรน้ำหรือซิลิโคน เท่านั้น
- ห้ามใช้น้ำมัน วาสลีน โลชั่น หรือเบบี้ออยล์ เพราะจะทำให้ยางลาเท็กซ์เสื่อม และเปราะ แตกง่าย
- หากมีเพศสัมพันธ์นานหรือเพศทางทวารหนัก ควรใช้สารหล่อลื่นเพิ่มเพื่อลดแรงเสียดสี
- เก็บรักษาให้ถูกต้อง
- เก็บไว้ในที่ เย็น แห้ง และพ้นแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการทิ้งไว้ในรถยนต์หรือกระเป๋าสตางค์นาน ๆ เพราะความร้อน และแรงกดทับทำให้ยางเสื่อมสภาพ
- อย่าลืม ตรวจสอบวันหมดอายุ ทุกครั้งก่อนใช้
- ใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี
- เปิดซองด้วยมือ ไม่ใช้ฟัน กรรไกร หรือของมีคม
- บีบกระเปาะปลาย (reservoir tip) เพื่อไล่อากาศออกก่อนสวม
- สวมเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัว และ รูดลงจนสุดโคน
- หลังเสร็จกิจ ควรถอนออกขณะที่ยังแข็งตัวอยู่ โดย จับที่โคนถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการหลุดหรือรั่ว
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- รู้จัก PrEP และ PEP ให้ลึก ใช้เมื่อไร? ใครควรใช้? ต่างกันตรงไหน?
- ป้องกันก่อนป่วย! วัคซีนสำคัญสำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยแตก ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องติดโรคหรือท้องทันที แต่เป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสำคัญ และรับมืออย่างถูกต้อง การรู้จักวิธีป้องกัน การตรวจสุขภาพ และการใช้บริการทางการแพทย์อย่างเหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณ และคู่ปลอดภัย
ดังนั้น การ เลือกใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ใช้อย่างถูกวิธี และตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ จะช่วยให้คุณมั่นใจ และลดความเสี่ยงในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Condoms and HIV prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:
https://www.who.int/hiv/topics/condoms/en/ - Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Condom Effectiveness: How well do condoms protect against STDs? [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:
https://www.cdc.gov/condomeffectiveness - UNAIDS. Condoms: Key to protecting the health of young people. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2020/february/20200213_condoms
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ถุงยางอนามัยป้องกันโรคและการตั้งครรภ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:
https://ddc.moph.go.th - มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน (Youth Lead/Thai). การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.youthlead.org