ในการดูแล และรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การลดจำนวนไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ หรือ Undetectable ซึ่งเรียกว่า Viral Load ต่ำ ค่านี้ไม่เพียงแต่บ่งชี้ว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสรอดชีวิต คุณภาพชีวิต และความสามารถในการลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะคู่รัก หรือคนในครอบครัว
เราจะพาคุณไปรู้จักว่า Viral Load คืออะไร ตรวจอย่างไร มีผลอย่างไรต่อร่างกาย และเหตุใดมันจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสำเร็จในการรักษาเอชไอวี พร้อมคำถามที่พบบ่อย ข้อควรระวัง และแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้สามารถควบคุมเชื้อให้อยู่ในระดับปลอดภัย และไม่แพร่ต่อ
Viral Load คืออะไร?
Viral Load หมายถึง ปริมาณไวรัสเอชไอวีในเลือดของผู้ติดเชื้อ ซึ่งมักระบุในหน่วย copies per milliliter (copies/mL) การมี Viral Load สูงแสดงว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับไวรัสอย่างหนัก และการแพร่เชื้อก็มีโอกาสสูง ในทางตรงกันข้าม หาก Viral Load ต่ำจน ตรวจไม่พบ (Undetectable) หมายถึง ยาต้านไวรัสกำลังทำงานได้ดี และโอกาสแพร่เชื้อก็แทบไม่มีเลย
Viral Load ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการประเมินผลของการรักษา หากผู้ติดเชื้อสามารถควบคุมไวรัสให้ต่ำกว่า 200 copies/mL อย่างต่อเนื่อง แพทย์จะถือว่าเข้าสู่ภาวะ “ไม่แพร่เชื้อ” (U=U: Undetectable = Untransmittable)
วิธีการตรวจ Viral Load
การตรวจ Viral Load คือ การวัดปริมาณไวรัสเอชไอวี (HIV RNA) ในเลือด โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทางห้องปฏิบัติการ เช่น
- Nucleic Acid Amplification Test (NAAT)
- Real-time PCR (Polymerase Chain Reaction)
การตรวจจะใช้ตัวอย่างเลือดเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะถูกส่งไปยังห้องแล็บเฉพาะทาง เพื่อแยกสารพันธุกรรมของไวรัส และวิเคราะห์จำนวนของไวรัสในเลือด โดยผลลัพธ์จะออกมาในรูปของ copies/mL หรือจำนวนไวรัสต่อมิลลิลิตรของเลือด
วิธีนี้มีความแม่นยำสูงมาก สามารถตรวจพบไวรัสแม้ในปริมาณน้อยระดับหลักสิบ copies/mL
ความถี่ในการตรวจ Viral Load
การตรวจ Viral Load ไม่ใช่การตรวจเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินผลของการรักษา โดยความถี่ในการตรวจจะแตกต่างกันตามระยะของการรักษา ดังนี้
- เริ่มต้นการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART ผู้ที่เพิ่งเริ่มยาต้านไวรัส ART ควรตรวจ Viral Load ครั้งแรก ภายใน 2–4 สัปดาห์ หลังเริ่มยา เพื่อดูว่ายามีผลในการลดจำนวนไวรัส หรือไม่
- ผู้ที่ใช้ยาต้านไวรัส ART อย่างต่อเนื่อง หลังจากช่วงเริ่มต้น ควรตรวจ ทุก 3–6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไวรัสยังคงอยู่ในระดับต่ำ หรือไม่ตรวจพบ
- ผู้ที่ควบคุมไวรัสได้ดี หากตรวจพบว่า Viral Load อยู่ในระดับไม่ตรวจพบ (Undetectable) ติดต่อกัน 2 ครั้ง แพทย์อาจพิจารณาขยายช่วงการตรวจออกไปเป็น ทุก 6 เดือน
ความหมายของตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable)
การตรวจไม่พบเชื้อ หรือ Undetectable Viral Load ไม่ได้หมายความว่าเชื้อเอชไอวี หายไปจากร่างกาย แต่หมายถึงว่า
- ปริมาณไวรัสในเลือดต่ำมาก
- เครื่องมือที่ใช้ตรวจหา ไม่สามารถตรวจจับไวรัสได้
- ผู้ป่วย ไม่สามารถแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากอยู่ในสถานะนี้อย่างต่อเนื่อง (ตามหลัก U=U: Undetectable = Untransmittable)
ระดับ Viral Load ที่ถือว่าตรวจไม่พบ จะแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีที่ใช้ในแต่ละประเทศ หรือห้องแล็บ เช่น
ระดับ Viral Load | หมายเหตุ |
ต่ำกว่า 20 copies/mL | เทคโนโลยีใหม่ในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น |
ต่ำกว่า 50 copies/mL | มาตรฐานทั่วไปของการตรวจแบบ Real-time PCR |
ต่ำกว่า 200 copies/mL | ใช้เป็นเกณฑ์ของแนวคิด U=U จาก WHO และ CDC |
การอยู่ในสถานะ Undetectable อย่างต่อเนื่องเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART เพราะนอกจากช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดี ยังช่วยหยุดการแพร่เชื้อในระดับสังคมอีกด้วย
ทำไมต้องตรวจ Viral Load อย่างต่อเนื่อง?
แม้จะเข้าสู่ภาวะ Undetectable แล้ว แต่ ไวรัสยังคงซ่อนอยู่ในเซลล์บางส่วนของร่างกาย เช่น ในต่อมน้ำเหลือง หรือสมอง หากหยุดยาเมื่อใด เชื้ออาจกลับมาสูงได้ทันที (เรียกว่า Viral Rebound)
ดังนั้น การตรวจ Viral Load อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีเดียวที่สามารถประเมินว่า
- ร่างกายยังควบคุมเชื้อได้ดี หรือไม่
- มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น หรือไม่
- ต้องเปลี่ยนสูตรยา หรือมีปัญหาดื้อยา หรือไม่
ประโยชน์ของการควบคุม Viral Load อย่างต่อเนื่อง
การควบคุมปริมาณไวรัส (Viral Load) ให้อยู่ในระดับต่ำ หรือไม่ตรวจพบ (Undetectable) คือหัวใจของการรักษาเอชไอวี (HIV) ที่ได้ผล และยั่งยืน โดยส่งผลดีหลายด้านต่อสุขภาพ และชีวิตของผู้ติดเชื้อ ดังนี้
- ลดโอกาสการเจ็บป่วยรุนแรง และโรคแทรกซ้อน เมื่อ Viral Load อยู่ในระดับต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันจะได้รับการฟื้นฟู ส่งผลให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในปอด หรือโรคมะเร็งบางชนิด ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำจากการติดเชื้อเอชไอวี
- ยืดอายุ และคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อที่ควบคุม Viral Load ได้ดี และรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART อย่างต่อเนื่อง สามารถมีอายุยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป มีพลังงานมากขึ้น และสามารถประกอบอาชีพ ทำกิจกรรม หรือท่องเที่ยวได้ตามปกติ
- ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ตามแนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) ผู้ติดเชื้อที่มี Viral Load ต่ำจนไม่ตรวจพบเป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่อง จะไม่สามารถแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ ทำให้เกิดความมั่นใจในความสัมพันธ์ และช่วยลดอคติทางสังคม
- มีโอกาสวางแผนครอบครัวได้อย่างปลอดภัย หญิงที่ติดเชื้อเอชไอวี และสามารถควบคุมไวรัสได้ในระดับต่ำต่อเนื่องก่อนตั้งครรภ์ สามารถลดความเสี่ยงการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารกได้เกือบ 0% โดยเฉพาะเมื่อรับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่ทำให้ Viral Load เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าจะรักษาได้ผลดีมานานหลายปี แต่ Viral Load อาจกลับมาสูงอีกครั้งจากหลายสาเหตุที่ต้องระวัง
- ลืม หรือหยุดกินยา ยาต้านไวรัสต้องทานทุกวันอย่างต่อเนื่อง การลืมกินบ่อย ๆ หรือหยุดยาเองแม้เพียงระยะสั้น อาจทำให้ไวรัสเพิ่มขึ้นทันที
- การดื้อยา จากการใช้ยาไม่ต่อเนื่อง หรือใช้ผิดวิธี เชื้อเอชไอวี อาจกลายพันธุ์จนดื้อยาเดิม ทำให้ต้องเปลี่ยนสูตรยา และใช้ยาที่มีผลข้างเคียงมากขึ้น
- ภาวะร่างกายอ่อนแอจากโรคอื่น เช่น การติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น การเป็นโรคเรื้อรัง หรือร่างกายได้รับความเสียหายจากการรักษาโรคอื่น
- ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง และอาจทำให้ความสามารถของร่างกายในการควบคุมไวรัสลดลง
เมื่อ Viral Load เพิ่มขึ้น แพทย์อาจสั่งตรวจซ้ำบ่อยขึ้น หรือพิจารณาเปลี่ยนสูตรยาเพื่อลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนในอนาคต
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการควบคุม Viral Load
หากคุณ หรือคนใกล้ชิดอยู่ระหว่างการรักษาเอชไอวี การปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีที่สุด
- เริ่มยาต้านไวรัส ART ให้เร็วที่สุดหลังรู้ผล การเริ่มยาเร็วช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหายของภูมิคุ้มกัน และช่วยเข้าสู่ภาวะ Undetectable ได้เร็วขึ้น
- ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องเวลาในการกินยา การดูแลสุขภาพจิต และการตรวจตามนัด
- ไม่ลืมกินยา แม้ในวันที่รู้สึกปกติ เพราะเชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแม้ไม่มีอาการ การรักษาจึงต้องต่อเนื่องทุกวัน
- ติดตามผลตรวจตามกำหนดเวลา เพื่อให้แพทย์ทราบว่าแนวทางการรักษายังได้ผล หรือควรปรับเปลี่ยนสูตรยาใหม่
- ปรึกษาแพทย์เมื่อมีผลข้างเคียง หากมีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว หรืออ่อนเพลีย ไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง แต่ควรแจ้งแพทย์เพื่อรับคำแนะนำอย่างเหมาะสม
แนวทางการดูแลตนเองสำหรับผู้ติดเชื้อเอขไอวี
- กินยาตรงเวลา ไม่ลืม ไม่ขาด การใช้ยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง และตรงเวลาเป็นหัวใจของการควบคุมเชื้อเอชไอวี ไม่ให้เพิ่มจำนวนในร่างกาย หากกินยาครบถ้วนตามแพทย์แนะนำ จะสามารถทำให้ระดับ Viral Load ลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งหมายถึงไม่สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างมีนัยสำคัญ
เคล็ดลับ: ตั้งปลุก เตือนด้วยแอปในมือถือ หรือผูกกับกิจวัตรประจำวัน เช่น กินพร้อมมื้ออาหาร - ตรวจติดตาม Viral Load และ CD4 อย่างสม่ำเสมอ ควรเข้ารับการตรวจ Viral Load ทุก 3–6 เดือน เพื่อติดตามผลว่าระดับไวรัสในเลือดอยู่ในระดับต่ำ หรือไม่ ส่วนการตรวจ CD4 คือการดูจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นตัวบ่งชี้ภูมิคุ้มกัน หากค่าต่ำอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
การตรวจสม่ำเสมอทำให้สามารถปรับการรักษาได้ทันทีหากมีปัญหา - หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์จัด สูบบุหรี่ พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลเสียต่อการทำงานของตับ ไต และภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านไวรัส และเพิ่มความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน เช่น มะเร็ง ตับอักเสบ หรือโรคหัวใจ
หากเลิกไม่ได้ ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ หรือสายด่วนเลิกบุหรี่ - รักษาสุขภาพจิตใจ ไม่เครียดจนเกินไป สุขภาพจิตมีผลโดยตรงต่อสุขภาพกาย ความเครียดเรื้อรังอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงของไวรัสเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ซึ่งการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้กิจกรรมสร้างสมาธิ เช่น โยคะ หรือสมาธิ
- มีระบบสนับสนุนที่ดี เช่น คู่รัก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน การมีคนที่เข้าใจ และอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ชีวิต คนในครอบครัว หรือกลุ่มสนับสนุนผู้ติดเชื้อเอชไอวี ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ลดภาวะซึมเศร้า และมีกำลังใจในการดูแลตนเอง หรือเข้าร่วมกลุ่มผู้ติดเชื้อในชุมชน กลุ่มออนไลน์ หรือโครงการแนะแนวด้านสุขภาพจิต และเพศสัมพันธ์
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- การตรวจเอชไอวี : ความสำคัญ ขั้นตอน และทุกเรื่องที่ควรรู้
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี: อาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเอชไอวี
การรักษาเอชไอวีในยุคปัจจุบัน ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่มีชีวิตอยู่รอด แต่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพอย่างปลอดภัย มีความสุข และไม่แพร่เชื้อให้ใคร หากคุณ หรือคนใกล้ตัวอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี การตรวจติดตาม Viral Load เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยืนยันว่า “ชีวิตยังคงมีค่า และปลอดภัยได้” เมื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). (2021). HIV viral load testing – policy brief.
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/publications/i/item/9789240030783 - Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). Understanding Viral Load.
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/viral-load.html - UNAIDS. (2022). Undetectable = Untransmittable (U=U).
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2022/september/20220915_u-equals-u - กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส.
[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1360220230209020901.pdf - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). (2565). รู้จัก “ไวรัลโหลด” ตัวชี้วัดความสำเร็จในการรักษาเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.thaihealth.or.th/Content/58965