ตุ่ม PPE คืออะไร? อาการผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี

ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาการทางผิวหนังถือเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน หนึ่งในอาการที่พบบ่อยคือ ตุ่ม PPE หรือ Pruritic Papular Eruption ซึ่งมักทำให้ผู้ป่วยมีความกังวล และสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ การทำความเข้าใจว่า PPE คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีความหมายอย่างไรต่อสุขภาพ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อ และผู้ดูแลสามารถสังเกตอาการ และเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

ตุ่ม PPE คืออะไร? อาการผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี

PPE คืออะไร?

PPE (Pruritic Papular Eruption) คือ อาการผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีลักษณะเป็น ตุ่มนูนขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สีแดงหรือสีคล้ำ คันมาก มักขึ้น หลายตำแหน่งพร้อมกัน บริเวณแขน ขา ลำตัว บ่า ไหล่ และบางรายที่ใบหน้า เมื่อคัน และเผลอเกาอาจเกิด แผลถลอก สะเก็ด เลือดซึม รอยดำหลังการอักเสบ และเสี่ยง ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ได้

“Quicky"

ลักษณะเด่นที่มักพบร่วมกัน

  • ตุ่มนูนจำนวนมาก กระจายกว้าง ค่อนข้างสมมาตร (ซ้าย–ขวาใกล้เคียงกัน)
  • คันรุนแรง จนรบกวนการนอน และการใช้ชีวิต
  • มักเป็น ครอนิก/เป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่ยังควบคุมเอชไอวีได้ไม่ดี
  • หลังยุบมักทิ้ง รอยคล้ำ (post-inflammatory hyperpigmentation) ไว้เป็นจุด ๆ

PPE พบได้บ่อยในผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนลง โดยเฉพาะเมื่อ ค่า CD4 ต่ำกว่า ~200 เซลล์/ไมโครลิตร (cells/µL) แต่ก็อาจเกิดได้ที่ค่ามากกว่านี้หากการควบคุมโรคยังไม่เสถียร

“ChatLove2test"

ทำไม PPE จึงเกิดในผู้ติดเชื้อเอชไอวี? (กลไก)

  • ภูมิคุ้มกันเสียสมดุลจากการติดเชื้อเอชไอวี เอชไอวีทำลายเซลล์ CD4 T-lymphocytes ซึ่งเป็นตัวบัญชาการ ของระบบภูมิคุ้มกัน ผลคือร่างกายตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเกินไป และควบคุมการอักเสบที่ผิวได้ไม่ดี
  • ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน (hypersensitivity) ต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว แสงแดด (photo-exacerbation), แมลงกัดต่อย, จุลชีพบนผิว, ฝุ่น/สารระคาย อาจกระตุ้นให้เกิด ปื้นตุ่มนูนคัน เป็นวงกว้าง
  • พยาธิสภาพในผิวหนัง (โดยสรุป) ในตัวอย่างชิ้นเนื้อ (กรณีจำเป็นต้องตัดตรวจ) มักเห็น การอักเสบรอบหลอดเลือดและรูขุมขน, เซลล์อักเสบรวมถึง อีโอสิโนฟิล และสัญญาณของการเกาซ้ำ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับอาการคันมาก

ความสัมพันธ์กับระยะของเอชไอวี

  • ตัวชี้นำของภูมิคุ้มกันที่ลดลง: การปรากฏของ PPE มักบอกใบ้ว่า ภูมิคุ้มกันอ่อนลงมาก โดยเฉพาะเมื่อค่า CD4 < 200 cells/µL ซึ่งเป็นช่วงเสี่ยงต่อ การติดเชื้อฉวยโอกาส
  • สัญญาณให้ เช็กสถานะการรักษา: หากพบตุ่มลักษณะเข้ากับ PPE ควร ตรวจ CD4 และ Viral Load เพื่อประเมินความคืบหน้าการรักษา และพิจารณาปรับแผน (เช่น เริ่ม/ปรับ ART, ค้นหาปัจจัยรบกวนยา)
  • ตอบสนองต่อการกดไวรัส: เมื่อเริ่ม/ใช้ ยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอจน Viral Load ต่ำต่อเนื่อง อาการ PPE มัก ค่อย ๆ ลดลง ทั้งจำนวนตุ่ม ความคัน และรอยดำ

ตุ่ม PPE แตกต่างจากผื่นแบบไหนบ้าง?

อาการตุ่มคัน มีหลายสาเหตุ PPE เป็นเพียงหนึ่งในนั้น แพทย์มักพิจารณาแยกจากโรคต่อไปนี้

  • เริมงูสวัด (Herpes zoster): ตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนวตามเส้นประสาท ปวดแสบร้อนเด่น ช่วยแยกจาก PPE ที่เป็นตุ่มนูนคันกระจาย
  • หิด (Scabies): คันมากตอนกลางคืน มีรอยไชตามง่ามมือ ข้อมือ รอบเอว/รักแร้ มักพบตุ่มน้ำเล็ก ๆ และมีผู้ใกล้ชิดคันตาม
  • รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): ตุ่มหนองเล็ก ๆ ผูกกับรูขุมขนชัดเจน พบที่ต้นขา ก้น หลัง
  • Eosinophilic folliculitis ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี: คล้ายกันแต่ จับที่ใบหน้า/อกส่วนบน มาก และเน้นที่รูขุมขน
  • Prurigo nodularis: ตุ่มนูนแข็ง/ปม (nodules) จากการเกาซ้ำ ๆ นาน ๆ

การวินิจฉัยที่ชัดเจนควรทำโดยแพทย์ อาจต้องอาศัย การซักประวัติ–ตรวจร่างกาย–ตรวจห้องแล็บ และบางกรณี ตัดชิ้นเนื้อ (skin biopsy)

“PrEPLove2test"

อาการผิวหนังอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี

นอกจาก PPE ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจมีอาการทางผิวหนังอื่น ๆ เช่น

  • Kaposi’s Sarcoma (KS) เนื้องอกที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HHV-8 มีลักษณะเป็นปื้นหรือปุ่มสีม่วงเข้ม มักพบที่ผิวหนัง ปาก และอวัยวะภายใน
  • Seborrheic Dermatitis ผิวหนังเป็นผื่นแดง ลอก มัน โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะ คิ้ว ข้างจมูก และหน้าอก
  • Herpes Zoster (งูสวัด) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella-zoster มีลักษณะตุ่มน้ำใสเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท มักปวดมาก
  • Molluscum Contagiosum ตุ่มนูนเนียน มีรอยบุ๋มตรงกลาง เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscipoxvirus
  • Fungal Infections (เชื้อรา) เช่น กลาก เกลื้อน เชื้อราในปาก (oral candidiasis)

เมื่อไรควรไปพบแพทย์ทันที?

  • คันมากจน นอนไม่หลับ/ใช้ชีวิตไม่ได้
  • มีสัญญาณ ติดเชื้อแทรกซ้อน: บวม แดง ร้อน ปวด มีหนอง ไข้
  • ตุ่มลุกลามเร็ว เป็นแผลลึก หรือมีปัญหาในช่องปาก/เยื่อบุอื่นร่วม
  • ยัง ไม่ได้เริ่ม ART หรือสงสัยว่า กินยาไม่สม่ำเสมอ
  • ไม่แน่ใจว่าเป็น PPE จริงหรือไม่ ควรให้แพทย์แยกสาเหตุ

การวินิจฉัย PPE 

การวินิจฉัยต้องอาศัยภาพรวม ของข้อมูล ไม่ใช่ดูแค่ลักษณะตุ่มอย่างเดียว แพทย์จึงจะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และใช้ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกันเพื่อแยกจากโรคผิวหนังชนิดอื่น

  • ซักประวัติอย่างเป็นระบบ
    • ระยะเวลาที่เป็นผื่น ความรุนแรงของอาการคัน (เช่น 0–10), เป็นๆ หายๆ หรือเป็นต่อเนื่อง
    • ตำแหน่ง และการกระจาย (แขนขาด้านนอก ไหล่ หลัง หน้า ฯลฯ), เป็นแบบสมมาตรหรือไม่
    • ตัวกระตุ้นที่สงสัย: แดดจัด เหงื่อ แมลงกัดต่อย ผิวแห้ง สบู่/น้ำหอม/เสื้อผ้าหยาบ
    • ประวัติการเกาแรงจนเป็นแผล/ติดเชื้อแทรกซ้อน
    • ประวัติทางเพศ/บุคคลใกล้ชิด มีอาการคันคล้ายกัน (ใช้แยก หิด)
    • สถานะเอชไอวี การกิน ART สม่ำเสมอหรือไม่ มีโรคร่วมหรือยาร่วมที่อาจกระตุ้นผื่น
  • ตรวจร่างกายผิวหนัง
    • ลักษณะตุ่ม: นูนเล็ก–กลาง สีแดง/คล้ำ คันมาก กระจายกว้าง มักสมมาตร
    • รอยถลอก/สะเก็ด/รอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation)
    • มองหาสัญญาณอื่นที่ชี้โรคต่างชนิด เช่น ตุ่มน้ำเป็นแนวตามเส้นประสาท (งูสวัด), ตุ่มหนองเกาะรูขุมขน (folliculitis), รอยไชตามง่ามมือ (หิด)
  • ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    • ตรวจเลือด CD4: มักพบ PPE เด่นขึ้นเมื่อ CD4 ต่ำ โดยเฉพาะ < 200 cells/µL
    • ตรวจ Viral Load: เพื่อประเมินการกดไวรัส และความสม่ำเสมอของการใช้ ART
    • อาจพิจารณาตรวจอื่น ๆ ตามดุลยพินิจ (เช่น น้ำตาลในเลือด, อีโอสิโนฟิล) หากสงสัยสาเหตุร่วม
  • ตรวจชิ้นเนื้อผิวหนัง (Skin biopsy) — เฉพาะกรณีจำเป็น
    • ใช้ยืนยันในรายที่แยกจากโรคอื่นยาก หรืออาการดื้อต่อการรักษามาตรฐาน
    • พยาธิสภาพมักเห็นการอักเสบรอบรูขุมขน/หลอดเลือด ผสมเซลล์อักเสบหลากชนิด และสัญญาณจากการเกาซ้ำ ๆ
      เป้าหมายของขั้นตอนวินิจฉัยคือ แยกจากโรคที่ต้องการการรักษาเฉพาะ (เช่น หิด, งูสวัด, folliculitis, eosinophilic folliculitis, prurigo nodularis) และประเมินสถานะเอชไอวีโดยรวม เพื่อจัดแผนรักษาที่เหมาะที่สุด
การรักษาตุ่ม PPE

การรักษาตุ่ม PPE

การรักษาแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ คุมสาเหตุระบบ และบรรเทาอาการผิวหนัง เพื่อหยุดวงจรคัน-เกา-อักเสบ

  • การควบคุมสาเหตุ (แก้ที่ต้นตอ)
    • เริ่ม/ปรับยาต้านไวรัส ART ให้เหมาะ และกินสม่ำเสมอ การกดไวรัสจนต่ำ และต่อเนื่องคือหัวใจสำคัญ เมื่อภูมิคุ้มกันฟื้น อาการ PPE มักค่อย ๆ ดีขึ้นทั้งจำนวนตุ่ม และความคัน
    • รักษาการติดเชื้อแทรกซ้อนบนผิว หากมีรอยเกาเป็นแผล/หนอง แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะราย หรือยาต้านเชื้อราหากมีเชื้อราร่วม
    • ทบทวนปัจจัยรบกวนการรักษา แก้เรื่องลืมยา/เวลาไม่แน่นอน, ตรวจปฏิกิริยาระหว่างยา-สมุนไพร, จัดการความเครียด/การนอนไม่พอที่ซ้ำเติมอาการคัน
  • การบรรเทาอาการ (ลดคัน ลดอักเสบ ปกป้องผิว)
    • ยาทาน/ยาทาเพื่อลดอักเสบ และคัน
      • ยาทาสตียรอยด์ ความแรงเหมาะสมกับตำแหน่ง (กลาง–แรงสำหรับแขนขา ระวังใบหน้า/ข้อพับใช้ความแรงต่ำ และระยะสั้น)
      • ยากลุ่มต้านฮีสตามีน (เช่น แบบไม่ง่วงตอนกลางวัน/แบบง่วงก่อนนอนเพื่อช่วยนอนหลับ และลดเกา)
      • ตัวเลือกเฉพาะราย: ยาทา calcineurin inhibitor สำหรับบริเวณที่ผิวบาง, การทำ wet-wrap ชั่วคราวในรายคันมาก (ภายใต้คำแนะนำแพทย์)
    • การดูแลผิวประจำวัน
      • อาบน้ำอุ่นสั้น ๆ เลี่ยงน้ำร้อน/ฟองสบู่จัด ใช้คลีนเซอร์อ่อนโยน pH เป็นมิตรผิว
      • ทา มอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น (มีเซราไมด์/ยูเรียความเข้มข้นต่ำ) ทันทีหลังอาบน้ำ และระหว่างวันเพื่อลดแห้งคัน
      • แต่งเล็บให้สั้น ใส่เสื้อผ้านุ่ม ระบายอากาศดี
    • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
      • แสงแดดจัด: ใช้ครีมกันแดด broad-spectrum SPF 30–50+, ทาซ้ำเมื่อกิจกรรมกลางแจ้งนาน
      • แมลงกัดต่อย: ใช้ยากันยุง (เช่น DEET หรือ picaridin ตามฉลาก), เสื้อแขนขายาว, มุ้ง/สเปรย์กันแมลง, หลีกเลี่ยงพื้นที่หญ้ารกยามค่ำ
      • ลดเหงื่อ/ความอับชื้นที่ทำให้คันมากขึ้น
    • เคสเรื้อรัง/ดื้อการรักษา อาจพิจารณาวิธีขั้นสูงภายใต้แพทย์เฉพาะทาง เช่น โฟโตเธอราพี (NB-UVB), ยาแก้คันระบบบางชนิด ฯลฯ ซึ่งต้องชั่งประโยชน์-ความเสี่ยงเป็นรายคน

การป้องกันการเกิด (หรือกำเริบ) ของ PPE

แม้ป้องกัน 100% ไม่ได้ แต่ลดความเสี่ยง และความถี่ของการกำเริบได้มากด้วยการ ดูแลองค์รวม + เลี่ยงตัวกระตุ้น

  • รับยาต้านไวรัสตรงเวลาเสมอ: ช่วยกดไวรัส และฟื้นภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดผื่น
  • สุขอนามัยผิวหนังสม่ำเสมอ: อาบน้ำหลังเหงื่อออก ใช้คลีนเซอร์อ่อนโยน ซับผิวแห้ง และทามอยส์เจอไรเซอร์ทันที
  • ป้องกันแมลงกัดต่อย: ยากันยุง เสื้อแขนขายาว ถุงเท้า เตรียมสเปรย์/มุ้งเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
  • กันแดดอย่างถูกวิธี: เลือก SPF 30–50+ ปริมาณพอ และทาซ้ำตามสถานการณ์
  • ตรวจสุขภาพผิวหนังเป็นระยะ: พบแพทย์เร็วเมื่อเริ่มคัน/เป็นตุ่ม เพื่อรักษาตั้งแต่ต้นทาง ลดรอยดำ และการติดเชื้อแทรกซ้อน

ผลกระทบของ PPE ต่อคุณภาพชีวิต

PPE (Pruritic Papular Eruption) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาผิวหนังธรรมดาที่เกิดตุ่มนูน และอาการคันเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม

  • ด้านร่างกาย – อาการคันเรื้อรังทำให้รบกวนการนอนหลับ และการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากการเกาจนเป็นแผล ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลารักษานานขึ้น
  • ด้านจิตใจ – ผื่น และรอยดำบนผิวหนังที่เห็นชัดอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความมั่นใจ รู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะหากมีการซ้ำเติมจากการมองหรือคำพูดของผู้อื่น
  • ด้านสังคม – ผู้ที่มีตุ่ม PPE มักหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม กลัวสายตาหรือคำถามจากคนรอบข้าง ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัว และการทำงานได้รับผลกระทบ
  • ด้านภาพลักษณ์ของโรค – เนื่องจาก PPE มักพบในผู้ติดเชื้อเอชไอวี การมีตุ่มลักษณะนี้อาจทำให้เกิดการตีตราทางสังคม (Stigma) และการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต และการเข้าถึงการรักษา

การให้ความรู้แก่สังคมเกี่ยวกับ PPE และเอชไอวีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยลดอคติ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า PPE เป็นอาการที่รักษา และควบคุมได้ หากผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีตุ่ม PPE

เพื่อบรรเทาอาการ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ผู้ที่มีตุ่ม PPE ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการเกาแรง – แม้จะคันมาก แต่การเกาแรงอาจทำให้ผิวหนังถลอก และติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้ตุ่มลุกลาม และรักษายากขึ้น
  • พบแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี – เพื่อรับการประเมิน วินิจฉัย และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม อาจต้องใช้ทั้งยาทา ยากิน และการปรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการใช้ยาต้านไวรัส (ART) – กินยาให้ตรงเวลา และต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดผื่นซ้ำ และป้องกันการลุกลามของเอชไอวี
  • จัดการความเครียด และพักผ่อนเพียงพอ – ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นหรือทำให้อาการคันรุนแรงขึ้น การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ อาจช่วยได้
  • ดูแลสุขอนามัยผิวหนัง – ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อนโยน และมอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการระคายเคือง และปกป้องผิว

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

ตุ่ม PPE เป็นหนึ่งในอาการผิวหนังที่พบบ่อยในผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การสังเกตและวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ร่วมกับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง จะช่วยควบคุมอาการ ลดความรุนแรง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

เอกสารอ้างอิง

  • DermNet NZ. Pruritic Papular Eruption of HIV. รายละเอียดลักษณะ อาการ สาเหตุ และการรักษาของ PPE ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://dermnetnz.org/topics/pruritic-papular-eruption-of-hiv
  • World Health Organization (WHO). Guidelines on the Treatment of Skin and Oral HIV-Associated Conditions in Children and Adults. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี รวมถึง PPE. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://apps.who.int/iris/bitstream/handle/10665/136863/9789241548915_eng.pdf
  • NCBI Bookshelf (WHO). Evidence and Recommendations on Papular Pruritic Eruption. ข้อมูลหลักฐานและข้อเสนอแนะจาก WHO เกี่ยวกับ PPE ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK305405/
  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาและป้องกันเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย 2564–2565. ข้อมูลมาตรฐานการรักษาและการติดตามอาการผิวหนังในผู้ติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaiaidssociety.org/thailand-hiv-aids-guideline/
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. องค์ความรู้และแนวทางเกี่ยวกับโรคติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. แหล่งข้อมูลด้านการป้องกันและการดูแลผู้ติดเชื้อในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th/das/

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save